เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมนะ เรามาวัดมาวากันเพื่อสัจธรรม เพื่อสัจธรรม คนเราเกิดมาเวลาเท่ากัน คนเราเกิดมาเวลา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เด็ก ๒๔ ชั่วโมงของเขานั่นเป็นอย่างหนึ่ง คนโตขึ้นมา ๒๔ ชั่วโมงเป็นอย่างหนึ่ง เวลาเท่ากัน แต่หัวใจของคนมันไม่เหมือนกัน ความคิดคนไม่เหมือนกัน มันจะไม่เท่ากัน ถ้ามันไม่เท่ากัน ความเสมอภาค พูดถึงความเสมอภาค ภราดรภาพ มันมีกิเลสตัณหาไปคอยบิดเบือน ถ้าบิดเบือนของมัน ฟังธรรมๆ มันก็อยู่ที่จริตนิสัยของคน ถ้าจริตนิสัยได้มากน้อยแค่ไหน เขาก็จะได้ประโยชน์กับเขา

ถ้าคนมีศรัทธามีความเชื่อของเขา เวลาเกิดมาตั้งแต่เด็กน้อย เวลาเราออกธุดงค์ ดูทางอีสาน เด็กๆ น้อยๆ มาอยู่กับครูบาอาจารย์ตั้งแต่เป็นสามเณร พอสามเณรฝึกหัดขึ้นมาๆ ทั้งชีวิต แต่ของเรา เวลาเราเกิดมาทั้งชีวิตของเรา เราจะประสบความสำเร็จทางโลกของเรา ถ้าประสบความสำเร็จทางโลก เราต้องแข่งขันกับทางโลก การแข่งขันนั้นเป็นผลของวัฏฏะ นี่ผลของวัฏฏะไง

คนที่มีอำนาจวาสนา มีบุญกุศลนะ ทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จของเขา มันต้องมีอำนาจวาสนาด้วย ถ้าอำนาจวาสนา ทางวิทยาศาสตร์เขาต้องมีการแข่งขัน ถ้าแข่งขันมันอยู่ที่องค์ความรู้ มันอยู่ที่การศึกษา มันอยู่ที่โอกาส เวลาคนขอ ขอโอกาสทั้งนั้นน่ะ เราอยากจะขอโอกาสเพื่อจะให้เราได้แข่งขันกับเขา แต่เวลาแข่งขันกับเขามันอยู่ที่สติปัญญา ถ้าสติปัญญา สติปัญญามันมาจากไหนล่ะ คนบอกอยากมีสติปัญญา มีการศึกษา เวลาศึกษา เวลาหนังสือเรียนไม่เข้าใจๆ บอกให้วางให้ก่อนแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้มันมีสมาธิ

เวลาในการทำหน้าที่การงานก็ต้องมีสมาธิ ในนักกีฬาก็ต้องมีสมาธิ คนทำงานสมาธิเขาดี เขาจะดีของเขา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเด็กมีการแข่งขันการศึกษา ถ้าศึกษาแล้วต้องให้กลับมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้มันมีสมาธิ ให้มันมีการศึกษา ศึกษามันจะได้ศึกษาทะลุปรุโปร่ง มันจะได้มีองค์ความรู้ มันจะได้จบการศึกษานั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราโตขึ้นมา เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา คำว่า “อำนาจวาสนาๆ” มันเป็นสิ่งที่ได้ทำมาไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ไม่มีอะไรเป็นของฟรี คนที่ฉลาดก็ฉลาดเพราะเขาฝึกฝนของเขามา เวลาคนที่อับปัญญา อับปัญญามันเป็นครั้งเป็นคราวนะ ดูเวลาพระโพธิสัตว์ๆ สิ เขาบอกเวลาสัตว์อย่าไปก้าวล่วงมันนะ อาจเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นสัตว์ก็ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาอับปัญญาๆ ถึงเวลาคนเรามันถึงกรรมมันให้ผล คิดอะไรก็ไม่ออกทั้งนั้นน่ะ สมองทึบอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าคนเกิดมามันมีความคิดมาตั้งแต่เด็กๆ เด็กๆ มันขวนขวายของมันมา นี่ถึงเวลามันเสมอภาคกันทั้งนั้นน่ะ ความรู้สึกมันเท่ากัน แต่มันจะแตกต่างกัน แตกต่างกันที่อำนาจวาสนา แตกต่างกันที่ได้ทำของเขามา ถ้าเขาได้ทำของเขามา ทำของเขามาแล้วเป็นวาระที่มันจะได้ไง ถ้ามันจะได้อย่างนั้นเขาก็เกิดปัญญา เกิดอำนาจวาสนา แต่เป็นครั้งเป็นคราวไง

ดูสิ พระในสมัยพุทธกาล พระสีวลีๆ มีอำนาจวาสนา เป็นพระอรหันต์ด้วย มีลาภสักการะมหาศาลด้วย พระอรหันต์บางองค์เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่เวลาปัจจัย ๔ ขาดแคลนๆ ขาดแคลนเป็นเรื่องข้างนอก ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมอย่างนั้นไง

แต่ถ้ามันไม่เป็นธรรม เวลาไปไหนขึ้นมาจะต้องให้เขาสรรเสริญเยินยอตลอด นี่มันเป็นเรื่องทางโลก เวลาทางโลกจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ทำก็ได้ เวลาจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ทำก็ทำได้ชั่วคราวเท่านั้นน่ะ

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ใครๆ ก็อยากปรารถนาจะได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็อยากปรารถนาพบ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ มันเป็นเพราะนั่นเป็นความจริงไง

มันจะมีสิ่งใดเข้าไปกระทบกระเทือนขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันยังค่ำ แต่ทางโลก การประชาสัมพันธ์มันไม่มีความจริงอยู่ในใจอยู่แล้ว เราให้เขาๆ มาโฆษณาชวนเชื่อ โฆษณาชวนเชื่อมันเป็นครั้งเป็นคราวนะ โลกเขาทำกันได้ นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะไง

ฉะนั้น เวลากาลามสูตร อย่าให้เชื่อ เราเห็นสิ่งใดแล้วว่ามันเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธา อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้เวลามันพิสูจน์ไง ถ้ามันพิสูจน์ มันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมานั่นล่ะกาลเวลามันพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ขึ้นมา นั่นพูดถึงทางโลกนะ

ถ้าเป็นทางธรรมล่ะ ทางธรรมเราจะเชิดชูบูชาไง เวลาเชิดชูบูชานะ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก ไตรสรณคมณ์ของเรา ถ้าเป็นไตรสรณคมณ์ของเรานะ เราขวนขวายของเรา

ถ้าเราเป็นฆราวาส ฆราวาสญาติโยม เราก็ขวนขวายของเรา เราทำหน้าที่การงานของเราในความสุจริต ในทางคุณงามความดีของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา อันนั้น ความสุจริตนั้นมันจะคุ้มครองเรา มันจะลุ่มๆ ดอนๆ มันจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้นมันเป็นครั้งเป็นคราว ชีวิตของคนมันไม่ราบรื่นตลอดไปหรอก ชีวิตนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราก็ขวนขวายของเราไง เราขวนขวายของเราเพื่อคุณงามความดีไง ถ้าเพื่อคุณงามความดีแล้ว ทำสิ่งใดไปแล้วนึกถึงย้อนหลังแล้วไม่เสียใจ ไม่สะเทือนใจเลย ทำสิ่งใดแล้วย้อนถึงอดีตแล้ว ทำสิ่งใดแล้วมีแต่ความเสียอกเสียใจ สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนั้นไม่ดีเลย ในปัจจุบันถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เราก็ทำของเรา นี่ฆราวาสธรรมนะ ถ้าฆราวาสธรรมของเรา

ในเมื่อเรามีอาชีพ เราเกิดเป็นคน เราต้องมีอาชีพใช่ไหม เรามีอาชีพ เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา แต่มันทุกข์ มันทุกข์มันยาก เวลามันกัดกร่อนหัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ะ เราก็อยากประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรเทาทุกข์ บรรเทาทุกข์ของเราไปบ้าง ถ้าทางฆราวาสเขาบรรเทาทุกข์ของเขา

ถ้าเป็นผู้ที่ขวนขวาย ผู้ที่มีความจริงจัง เขาเสียสละ เขาเสียสละมาเป็นนักบวช มาบวชเป็นพระ มาประพฤติปฏิบัติจะเอาความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา เราขวนขวายของเรา เวลาบวชแล้วนะ บวชมาใหม่ๆ บวชแล้วเขาก็บอกว่าให้มีการศึกษาก่อน เราก็ไปศึกษากับเขา ถ้าบวชให้มีครูบาอาจารย์ เราจะศึกษาอะไร ก็ศึกษาหัวใจเรานี่ไง เราจะศึกษาหัวใจของเรานี่ ถ้าเราศึกษาหัวใจของเรานี่ อะไรจะมาศึกษาล่ะ

เวลาค้นคว้าๆ สิ่งที่เป็นนามธรรมจะหาที่ไหน มันก็หาที่หัวใจนี้ไง แล้วถ้าหาที่หัวใจนี้ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านจะหาที่อัตคัดขาดแคลน อัตคัดขาดแคลนเพราะอะไร เพราะมันสะดวกสบายไง ท่านไม่ต้องการหาสิ่งใดที่มาปรนเปรอกิเลสให้มันยิ่งใหญ่ไง

นี่เหมือนกัน เวลาพระเขาต้องการอย่างนั้น พระเขาต้องการความสงัดความวิเวก เขาต้องการอย่างนั้น แต่ทีนี้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันก็มีสิ่งนี้ตามมา สิ่งที่สภาวะแวดล้อมตามมาก็ตามมาอย่างนั้น มันก็มีขอบเขตของมันใช่ไหม ถ้ามีขอบเขตของมัน น้ำที่มันสะอาด น้ำที่มันสะอาดถ้าคนช่วยกันปกป้องดูแลนะ น้ำสะอาดนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับคนทั่วๆ ไปไง น้ำที่มันสะอาดใครๆ ก็ต้องการใช่ไหม ใครๆ ก็เข้ามาใช้สอยมันใช่ไหม แล้วทำให้มันสกปรก ให้มันเลอะเลือนไป แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ นี่ไง มันไม่เป็นประโยชน์กับใครหรอก ไอ้คนที่เข้ามาใช้สอยน้ำนั้นมันควรจะพัฒนาตัวมันก่อนไง ไม่ใช่มาเที่ยวโทษน้ำว่าน้ำนั้นลำเอียง น้ำนั้นไม่เสมอภาค

น้ำ มันเสมอภาคโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วแหละ ดูสิ ระดับน้ำ เวลาเขามีการก่อสร้าง ระดับน้ำ มันจะปรับของมัน เวลาน้ำท่วม จะยากดีมีจน ท่วมเหมือนกันหมด ไม่มีว่าน้ำท่วมบ้านคนจน บ้านคนรวยน้ำไม่ไป ไม่มีหรอก น้ำเสมอภาคของมันทั้งนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว ไอ้คนไปใช้สอยมันจะให้เขายกย่องสรรเสริญ มันมีประโยชน์อะไร เพราะเวลาไปวัดไปวา ฆราวาสธรรมๆ เรามีการแข่งขัน เรามีอาชีพ นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา สิ่งที่มันมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา มันก็มาวัดใจเรานี่แหละ ถ้าวัดใจของเรามันก็ขาดแคลน ไม่มีใครมานับหน้าถือตาไง ไอ้นั่นมันเข้ามาทำไม สิ่งที่มันยกย่องสรรเสริญขึ้นมา มันเอามาด้วยทำไม

เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาเขี้ยวเล็บตัวเองหักไว้ที่ประตูวัดก่อนนะ อย่าให้มันเข้ามาด้วย ไอ้เขี้ยวเล็บมึงนั่นน่ะ ไอ้เขี้ยวยาวๆ นั่นน่ะ แล้วมาอวดดีอวดเด่นมันจะเป็นประโยชน์อะไร อวดกิเลสไม่มีประโยชน์หรอก หลวงตาท่านพูด ชิงดีชิงชั่ว ดีไม่มี มีแต่ชั่ว

ถ้าเราหักนะ หักเขี้ยวหักเล็บเราก่อน มันเสมอภาค คนเหมือนคน คนเท่ากัน ทำไมต้องมีสิทธิพิเศษ ทำไมต้องคอยมาดูแลกัน คนก็คือคนน่ะ คนเขาขวนขวายช่วยตัวเองด้วย ถ้ามันช่วยตัวเองได้

นี่พูดถึงว่า น้ำที่มันสะอาด ถ้าน้ำที่สะอาด ทุกคนก็ต้องปรารถนา ทุกคนก็ต้องการใช้ทั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครอยากใช้น้ำสกปรก อยากใช้น้ำเสียหรอก การดำรงชีพของเรา เราก็ต้องการน้ำสะอาดทั้งนั้นน่ะ รัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา เราก็แสวงหาของเรา แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา เราก็มืดบอด มืดบอดเพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเราก็ต้องเป็นพวกเรา ต้องเป็นผู้ที่เอาอกเอาใจเรา ต้องคนที่เปิดกว้างเพื่อเรา แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมามันจะแทงกิเลสในใจของเรา ถ้ามันแทงกิเลสในใจของเรา ไอ้สิ่งที่มันอยากได้ อยากดี อยากเด่น อันนั้นน่ะกิเลสทั้งนั้นน่ะ ก็เราจะมากำจัดกิเลสไง เราจะมาเอาความจริงไง

แล้วในโลกของเรามันประเพณีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ในการที่จะเอาความจริงอย่างหนึ่ง ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็พอเป็นพิธี ทำเป็นพิธีกันเพื่อเอาชื่อเอาเสียงกัน เวลาครูบาอาจารย์เราเวลาท่านทำขึ้นมา ท่านหลีกเร้นเข้าไปอยู่ในป่าในเขา ท่านทำของท่าน แม้แต่อยู่ในวัดในวาก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจังของตัวเอง เวลามันจะรู้จริงก็รู้จริงขึ้นมาในหัวใจอันนี้ไง

ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะมีความลึกลับขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว ไม่มีกำมือในเรา ท่านแบตลอดไง แต่พวกเราเข้าไม่ถึงไง เข้าแต่ทฤษฎีไง เข้าแต่ทฤษฎีแล้วก็เอาจริตนิสัยของคนมาขัดแย้งกัน “พุทธพจน์ๆ”

สาธุ เราก็เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธพจน์ของท่าน ท่านชี้เข้ามาที่ใจนี้ ถ้าใจนี้มันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วมันจะกระจ่างแจ้งหมด แค่ทำความสงบของใจเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิมันก็มหัศจรรย์แล้ว

ไอ้นี่สัมมาสมาธิก็ยังไม่เข้าใจ ว่างๆ ว่างๆ ให้กิเลสมันหลอกทั้งนั้นน่ะ ว่างๆ ว่างๆ อากาศมันก็ว่างไง ความว่างคืออารมณ์ว่าง สร้างอารมณ์ให้มันว่าง อารมณ์ว่าง เพราะเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดนะ นิพพานเป็นความว่าง ทุกคนก็ว่างหมดเลย โอ่งไหมันก็เป็นนิพพานหมด มันก็ว่าง เพราะมันไม่มีอะไรบรรจุไง แต่โอ่งของเรามันมีข้าวสาร มันมีน้ำอยู่เต็มโอ่งเลย มันไม่ว่าง เพราะมันเป็นประโยชน์ไง เพราะมันมีสิ่งที่บรรจุไว้ในโอ่งนั้นไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา ความสงบระงับขึ้นมา สติปัญญามันพร้อมในใจเรานี่ไง ถ้ามันพร้อมในหัวใจแล้วมันจะมีอะไรมาปิดบังล่ะ ถ้ามันพร้อมในหัวใจแล้วมันจะมีอะไรสิ่งใดสูงๆ ต่ำๆ ล่ะ มันจะมีอะไรเข้ามากระทบกระเทือนในหัวใจนี้ไง สิ่งที่มันกระทบกระเทือนขึ้นมาเพราะมันไม่มีสิ่งใดในโอ่งนั้นเลยไง

ถ้ามันมีสิ่งใดอยู่ในโอ่งนั้นแล้วมันเติมไม่ได้ น้ำเต็ม ใส่อะไรก็ล้นออกไปหมด สิ่งที่ข้าวสารเต็มโอ่งนั้นใส่เข้าไปไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีคุณธรรมแล้ว ไอ้โลกธรรม ๘ มันเข้ามากระทบกระเทือนไม่ได้หรอก สิ่งที่มันกระทบกระเทือนขึ้นมา โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เพราะต้องการไง เพราะมันพร่องในหัวใจไง ต้องการลาภ ต้องการสักการะไง ยืนด้วยตัวเองไม่ได้ไง ถ้ามันยืนด้วยตัวของมันได้ ดูสิ ภิกษุ เวลาบิณฑบาต ทำภัตกิจแล้วบินไปเหมือนนก บินไป ฉันแล้วเหมือนนก นกไม่ยึดติดในรังของมัน มันไปของมันตามสะดวกสบายของมัน ไม่ต้องมีเจ้าของ ไม่ต้องมีกรงทอง ไม่ต้องมีใครให้มาดูแล ไม่ต้อง ไอ้ที่ต้องการให้คนดูแลเพราะมันบกพร่องของมันไง ถ้ามันบกพร่อง มันต้องการให้ใครมาค้ำจุนดูแล เราจะค้ำจุนดูแล ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านดุมาก เวลาหลวงตาขึ้นไปหาท่าน หลวงปู่มั่นท่านกระหนาบเอาเลย

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านดูแลด้วยข้อวัตรปฏิบัติ ท่านกระหนาบเอาอย่างนั้นน่ะ ท่านมาเชิดชูบูชาตรงไหน ยิ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งมีโอกาส ยิ่งปฏิบัติได้นะ ท่านยิ่งจี้ยิ่งไชเลยนะ เข้าไปเลยนะ เพราะจิตนี้แก้ยาก จิตนี้แก้ยากนัก คนที่แก้จิตหาได้ยาก หลวงปู่มั่นท่านพูดเอง เพราะอะไร เพราะด้วยประสบการณ์ชีวิตของท่าน ท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านพยายามของท่านมาก่อน พอพยายามของท่านมาก่อน แล้วจิตคนอื่นมันจะต่างจากตรงนี้ไปได้อย่างไร แล้วจิตคนอื่นยังไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีแบบท่านด้วย จะมีสติปัญญาสามารถรักษาใจของตน เป็นอย่างนี้ทำได้ยาก ท่านถึงพยายามค้ำชูๆ ค้ำชูด้วยการกระหนาบ ค้ำชูด้วยการตอกย้ำเข้ามาในหัวใจนั้น ไม่ใช่ค้ำชูด้วยความอยู่สุขอยู่สบาย อยู่สุขอยู่สบายก็ไปอยู่โรงแรมสิ โรงแรมเขาต้อนรับ เขาตั้งแถวด้วย แล้วก็ต้องจ่ายตังค์เขา

ไอ้นี่มันเป็นน้ำใจนะ ดูสิ เราจะทำบุญกุศล เรามีเจตนาไหม ตั้งแต่เช้ามา เราแสวงหาสิ่งที่จะมาถวายทาน แล้วถวายทานเสร็จแล้วนะ เรายังต้องไปสิ่งที่เราลงใจ ลงใจ เราได้เสียสละไป หัวใจของเราๆ สิ่งที่เขาจะทำยังต้องแสวงหาของเขาเลย

นี่ก็เหมือนกัน สติมันเป็นอย่างไร สติมันคือเหม่อลอยใช่ไหม ถ้าสมาธิ สมาธิก็ว่างๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องยึดมั่นเลยหรือ ถ้ามันเป็นสมาธิจริงๆ ขึ้นมา โอ๋ย! มันมีความสุขของมัน ถ้าเป็นสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วปัญญามันเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ที่เราขวนขวาย เรามากระทำ โอ่งของเราไม่ใช่ว่างๆ โอ่งของเรามีน้ำ โอ่งของเรามีข้าวสาร ถ้าโอ่งจริงๆ โอ่งบรรจุทองคำ แร่ทองคำเต็มโอ่ง มันเป็นอย่างไร มันมีของมันน่ะ

ถ้าไม่มีของมัน ดูสิ มันมาจากไหน ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันมา มันมีที่มา เวลามันจบมันจะไปไหน เวลามันจบ จบอย่างไร มันจบลงไม่ได้ พอจบลงไม่ได้ อ้างอิงไง เวลาพูดถึงพุทธพจน์ๆ อ้างพระพุทธเจ้าหมดล่ะ มันไปอ้างพระพุทธเจ้า แต่หัวใจไม่มีแก่นสาร ถ้ามีแก่นสารขึ้นมาแล้วนะ ไร้สาระมาก

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ลาภสักการะ ไอ้สรรเสริญนินทากันน่ะ ไอ้เชิดชูบูชานั่นน่ะ โมฆบุรุษตายเพราะลาภทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาเราเข้าวัดเข้าวา เรามีดอกไม้ธูปเทียนไปเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราถวายดอกไม้ธูปเทียนนะ ตักบาตรดอกไม้ๆ นั่นมีคุณค่ามากนะ สิ่งที่มีคุณค่า ดอกไม้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหยิบดอกบัวขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วชูขึ้น ถามว่ามีใครเข้าใจไหม

พระกัสสปะยิ้ม

นั่นน่ะคือไตรลักษณ์ สิ่งที่ยกขึ้นมามันจะเหี่ยวเฉาของมันไป มันจะอยู่ของมันไม่ได้

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับดอกบัว ๑ ดอกชูขึ้น แล้วถามพระทุกคนว่า นี่เทศน์กัณฑ์หนึ่งเข้าใจหรือยัง

พระกัสสปะยิ้ม ทำความเข้าใจกับอันนั้นไง นี่ไง มหายานเขาถือว่าพระกัสสปะนี้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาไง แต่เวลาเถรวาทเรา เถรวาทเราเชื่อตามธรรมและวินัย เชื่อศาสดา เพราะอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แต่งตั้ง อยู่ในพระไตรปิฎกมันมีของมันอยู่อย่างนั้น

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเข้าใจ เห็นไหม ดอกไม้ธูปเทียนเรามากราบบูชาพระ นั่นมันก็เกิดจากน้ำใจของเรา เกิดจากหัวใจของเรา การถวายทานด้วยดอกไม้ธูปเทียนก็เป็นเรื่องหนึ่ง การถวายทาน การถวายทานแต่ละเรื่องมันก็เกิดจากจริตนิสัย เกิดจากศรัทธาของคน คนมีศรัทธาความเชื่อมันทำของมันอย่างนั้น

ถ้ามีความเชื่อ ความเชื่อเพื่ออะไร ความเชื่อเพื่อให้หัวใจเข้มแข็ง หัวใจแข็งแรงขึ้นมาไง ถ้าหัวใจแข็งแรงขึ้นมา เราไม่ต้องขวนขวายแบบมืดบอดไง จะต้องทำอย่างนั้นตามกระแสไง

ยกมือขึ้น ถ้ายกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทีหนึ่งพอแล้ว ไม่ต้องไปเบียดเสียดเยียดยัดกับใครทั้งสิ้น ถ้าเราทำของเรา นี่ไง หัวใจๆ ที่มันมีค่า ถ้าหัวใจมีค่ามันทำของมันอย่างนี้ไง แล้วถ้าหัวใจมีค่าขึ้นมามันมีจุดยืนของมัน มันทำของมันประสบความสำเร็จของมัน นี่ถ้ามันทำของมัน ธรรมะเป็นอย่างนี้ ถ้าธรรมะเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าเขาต้องการความพอใจของเขา เขาก็ควรไปที่วัดที่เขาพอใจ

แต่ถ้าวัดที่มีครูบาอาจารย์เป็นหลัก เราเข้าไปแล้วมันต้องวัดหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เว้นไว้แต่ว่าเราเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์จะมีคุณธรรม แต่ความจริงมันไม่ใช่ หัวใจเราสูงส่งกว่า เราก็หลีกเร้นไป เพราะเราออกธุดงค์ก็ทำอย่างนี้ ที่ไหนครูบาอาจารย์ที่ลงใจ เราจะไปพักไปพิงกับท่าน เราจะไปฟังธรรมท่าน เราจะไปให้ท่านสั่งสอนเรา ถ้าที่ไหนนะ เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้องดีงามนะ ไม่เคยเข้าไปเลย ไม่เข้าไปใกล้ ของเหม็นไม่เข้าไปใกล้เลย เราไปหาแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาแสวงหา เขาแสวงหานั่นเป็นสิทธิของเขา แต่สิทธิของผู้ดำรงชีพ สิทธิของผู้มีชีวิต เขาก็มีสิทธิ์ของเขา มันเป็นสิทธิ์ เราจะเอาแต่ความรู้สึกของเราแล้วไปเหยียบย่ำคนอื่น ต้องเชื่อตามเรา เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้วเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นพาพวกเราเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว แสดงธรรมขนาดไหนมันก็ไม่เข้าใจ

แต่ถ้าเรามีการกระทำ เราทำจากหัวใจของเราใช่ไหม ทำขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา ฟังธรรมๆ ตอกย้ำอันนี้ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วถ้าลังเลสงสัย แก้ไขมัน แล้วเกิดปัญญาผ่องแผ้วขึ้นมา นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม

เรามาทำทานของเรา เราได้อุทิศส่วนกุศลของเรา แล้วเรายังได้ฟังธรรมๆ เตือนสติเตือนปัญญาของเรา เตือนหัวใจของเราไม่ให้กิเลสมันครอบงำไง เราฟังของเรา เราฝึกหัดของเราให้มันเป็นจริงขึ้นมา เวลาเป็นจริงขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการไตร่ตรอง ปัญญาเกิดจากการวิเคราะห์วิจัยในความคิดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการธรรมทายาท ต้องคนที่ยืนได้ ต้องคนที่มีสติปัญญาสามารถรักษาใจของเราได้ แล้วใจของเรามันจะเป็นประโยชน์กับเราด้วย แล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่นต่อไปอนาคตไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมเพื่อเหตุนี้ เอวัง